วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 5 : กำลังใจ



             กำลังใจ...





                    สิ่งที่ทำให้เรามีความมานะบากบั่น และมีความตั้งมั่นที่จะฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆจนไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จได้นั้นคือ กำลังใจ ของแต่ละคนค่ะ วราก็เช่นกันค่ะ วราคิดว่ากำลังใจนั้นเป็นเสมือนแรงขับเคลื่อนให้เราทำสิ่งต่างๆจนสำเร็จ  เป็นสิ่งที่คล้ายกับเวทมนต์เลยทีเดียวค่ะ พอเราเสกเวทมนตร์กำลังใจนี้เข้าตัวเราปุ๊บ! ก็ทำให้เรารู้สึกดี มีแรงที่จะทำทุกอย่าง มีแรงที่จะสู้ต่อไป












                          กำลังใจ  แม้จะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น  แต่ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงพลังอันสำคัญนี้  หลวงวิจิตรวาทการได้เขียนในหนังสือชื่อ กำลังใจ ว่าการที่คนเราจะเผชิญชีวิต หรือฟันฝ่าอนาคตให้ลุล่วงไปด้วยดีได้นั้น เราจะต้องมีกำลังถึง 3 ประการด้วยกัน คือ กำลังกาย  กำลังความคิด  และกำลังใจค่ะ  กำลังกาย หมายถึง ความเป็นผู้มีอนามัยดี  ร่างกายแข็งแรง ซึ่งเป็นความสำคัญเบื้องต้น  กำลังความคิด  หมายถึง  วิชาความรู้และมันสมองที่ดี  ส่วนกำลังใจ หมายถึง สมรรถภาพ               (ความสามารถ)ของดวงจิต ที่เป็นเครื่องส่งเสริมและควบคุมให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปโดยเรียบร้อย เหมาะสม  กำลังทั้งสามนี้มีความสำคัญเท่าๆกัน  แต่หากจะขาดหรือบกพร่องในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว  อย่าให้เป็นเรื่องขาดกำลังใจ  เพราะถ้าขาดกำลังใจแล้ว  จะเอากำลังกาย หรือ      กำลังใจมาทดแทนกำลังใจไม่ได้เลย










             + รู้หรือไม่ว่า  โดยทั่วไปกำลังใจของคนเรานั้นจะมี 2 แบบ คือ 

  1. กำลังใจแบบที่เกิดขึ้นเอง  มักเกิดในสภาพจิตที่รุนแรง หรือเกิดจากความสะเทือนใจอย่างหนัก  และมักให้โทษมากกว่าคุณ  เนื่องจากเป็นกำลังใจที่เกิดจากอารมณ์ต่างๆค่ะ เช่น ความโกรธ ความกลัว กำลังใจที่ว่านี้เป็นกำลังใจที่โลดโผน  เกิดขึ้นชั่วแล่น แล้วก็ดับหายไป 
  2. กำลังใจแบบที่เราก่อให้เกิดขึ้น หรือสร้างขึ้น  จะเป็นกำลังใจที่ให้คุณ  และมีความยั่งยืนกว่า  เพราะเกิดจากดวงจิตที่ตั้งมั่นจะมีชีวิตอย่างเป็นตัวของตัวเอง  ไม่ปล่อยไปตามยถากรรม อีกทั้งเป็นเครื่องมือที่จะช่วยแก้ปัญหาความยากลำบากในชีวิต  และยังช่วยเพิ่มพูนกำลังกาย และกำลังความคิดได้อีกด้วย 



                  โอ้โห วราก็พึ่งรู้นะคะว่ากำลังใจนี้มีให้โทษด้วย  ต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติกันมากๆเลยนะคะเนี่ย และตามธรรมดา  การที่เราจะรู้ว่าใครมี กำลังใจ หรือไม่  ย่อมต้องมีเหตุแสดงให้เห็น  เช่น  เมื่อเกิดปัญหาชีวิต  เกิดโรคภัยไข้เจ็บ แต่คนที่มีกำลังใจจะไม่กลัวและพร้อมจะต่อสู้เพื่อให้อุปสรรคเหล่านี้หมดไป  ส่วนคนที่ขาดกำลังใจจะรู้สึกหดหู่ซึมเศร้าอยู่เป็นนิตย์ มองเห็นแต่ปัญหา และหาทางออกไม่เจอ อย่างไรก็ตามค่ะ กำลังใจเป็นสิ่งที่สร้างให้เกิดขึ้นได้  วราคอนเฟิร์มค่า!!!  โดยกลุ่มประชาสัมพันธ์  สำนักงานคณะกรรมการแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ได้ยกตัวอย่างบางวิธีมาเสนอดังนี้ค่ะ


  • ขจัดความกลัว โดยทั่วไปคนจะกลัว 4 เรื่อง คือ กลัวผี กลัวคน กลัวภัยเฉพาะหน้า และกลัวเหตุร้ายจะมาถึง คนที่มีความกลัวอยู่ในนิสัย หรือที่เรียกว่า คนขลาด นั้น ยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต ดังนั้น เราอาจขจัดความกลัวได้ 2 วิธี คือ วิธีของพระพุทธเจ้า  พระพุทธองค์ทรงสอนว่า  สิ่งที่ขจัดความกลัวที่ได้ผลที่สุด คือ การแผ่เมตตาจิต  ปลูกฝังไมตรีให้เป็นธรรมะประจำใจ  ส่วนอีกวิธี คือ วิธีแบบจิตวิทยา สอนให้สอนในความเป็นจริง คือให้รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ความกลัวเป็นศัตรุร้ายแรงของกำลังใจ  การฝึกขจัดความกลัว จึงเป็นหนึ่งในวิธีสร้างกำลังใจโดยตรง  





การแผ่เมตตา เป็นหนึ่งในวิธีการสร้างกำลังใจ







  • ขจัดความหวาดวิตก  ซึ่งเป็นภัยร้ายที่ทำลายทั้งสุขภาพและความคิด ดังนั้นเราจะต้องแก้ไขโดยหัดมองโลกในแง่ดี คิดในทางบวก  คิดว่าต้องทำได้อยู่เสมอ วราคิดว่าถ้าทำข้อนี้ได้จะดีมากๆเลยนะคะ เพราะเคยได้อ่าน และได้ฟังเกี่ยวกับเรื่องการคิดแง่บวก ซึ่งการคิดแง่บวกก็เป็นพลังหนึ่งที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกับกำลังใจที่ทำให้เราประสบความสำเร็จได้นี้แหละค่ะ 
  • การเป็นตัวของตัวเอง  คือ มีความคิดอ่านเป็นของตนในทางที่มีเหตุมีผล  มีความถูกต้องเหมาะสม  หรือพูดง่ายๆว่ามีหลักการของตนเองค่ะ  ไม่ยอมให้ใครชักจูงให้ผันผวนไปจากแนวคิดของตน  คนเหล่านี้ คือ ผู้ที่มีกำลังใจแท้  คือมีกำลังใจที่จะต้อสู้  และกำลังใจที่จะหักห้ามตนเอง  ไม่ให้ทำผิดจากหลักการที่ตั้งไว้
  • การสร้างนิสัยสดชื่น  ความสดชื่น  เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความสามารถที่จะมีชีวิตอยู่และพร้อมเติบโตก้าวหน้าต่อไป  ทำให้ผู้อยู่ใกล้มีความสุขสดชื่นไปด้วย  แม้ว่าในความเป็นจริง เราอาจจะมีทุกข์  แต่หากเราเอาแต่โศกเศร้าทุกข์ร้อน นอกจากจะทำให้เรารู้สึกอ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว  ผู้คนก็จะพากันหนีห่าง  ดังนั้น เราจึงควรสร้างนิสัยสดชื่นไว้อยู่เสมอ  ด้วยการสร้างสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้สุดชื่นแจ่มใส  เช่น  ปลูกไม้ดอกในบ้าน  ประกอบคุณงามความดี เช่น การทำบุญ  จะทำให้รู้สึกอิ่มเอิบสดชื่นเช่นกันค่ะ 



                    
คลิปสั้นๆ แต่ได้กำลังใจเพียบ





                 
การสร้างกำลังใจยังมีอีกหลายวิธีเลยค่ะ  ทั้งการอ่านหนังสือดีๆ  หรือการหาภาพยนตร์ดีๆดู  ที่แฝงไปด้วยข้อคิด แนวคิด หรือคติดีๆ  ที่จะทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้นอย่างเช่นเรื่อง About Time ค่ะ ซึ่งให้ข้อคิดว่าให้ใช้ชีวิตทุกวินาทีอย่างมีสติ  ให้เกิดคุณค่ามากที่สุด  เพราะเวลามันไม่เคยกลับมาไตร่ตรองตัวมันเอง   และคนใกล้ตัวเราก็เป็นอีกหนึ่งกำลังใจดีๆนะคะ  ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย พี่ ป้า น้า อา ลูก หลาน เหลน โหลน คนรัก คุณครู น้องหมา น้องแมว กระต่าย และถ้าเราฝึกสร้างกำลังใจให้ตัวเองทุกๆวันจนชิน  จะทำให้เราเป็นคนเข้มแข็ง  และมีกำลังใจ ที่จะผลักดันให้เราประสบความสำเร็จในทุกๆด้านต่อไปค่า


  




แล้วเจอกันใหม่น้าา      บ๊ายยยย...บายยยย




ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆ และข้อมูลดีๆจาก:




วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 4 : โปรแกรมภาษา Java




                       มาถึงบทความที่ 4 ของวราปาก้าแล้วค่า ขอนำบทความภาษา Java ให้เพื่อนๆได้เข้าใจเกี่ยวกับภาษานี้มากขึ้นนะคะ ไปดูกันเลย!!!

                         ภาษาจาวา (Java programming language) เป็นภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object Oriented Programming) พัฒนาโดย เจมส์ กอสลิง และวิศวกรคนอื่นๆ ที่ ซัน ไมโครซิสเต็มส์ ภาษาจาวาถูกพัฒนาขึ้นในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการกรีน (the Green Project) และสำเร็จออกสู่สาธารณะในปี พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) ค่ะ  ซึ่งภาษานี้มีจุดประสงค์เพื่อใช้แทภาษาซีพลัสลัส (C++) โดยรูปแบบที่เพิ่มเติมขึ้นคล้ายกับภาษาอ็อบเจกต์ทีฟซี (Objective-C) แต่เดิมภาษานี้เรียกว่า ภาษาโอ๊ก (Oak)ค่ะ  ซึ่งตั้งชื่อตามต้นโอ๊กใกล้ที่ทำงานของ เจมส์ กอสลิง แต่ว่ามีปัญหาทางลิขสิทธิ์ จึงเปลี่ยนไปใช้ชื่อ "จาวา" ซึ่งเป็นชื่อกาแฟแทนค่า


                         และถึงแม้ว่าจะมีชื่อคล้ายกัน แต่ภาษาจาวาไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับภาษาจาวาสคริปต์ (JavaScript) นะคะ  โดยปัจจุบันมาตรฐานของภาษาจาวาดูแลโดย Java Community Process ซึ่งเป็นกระบวนการอย่างเป็นทางการที่อนุญาตให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมกำหนดความสามารถในจาวาแพลตฟอร์มได้ค่ะ


                         ซึ่งในการพัฒนาภาษาจาวานี้ มีจุดมุ่งหมายหลัก 4 ประการค่ะ 

  1. ใช้ภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ
  2. ไม่ขึ้นกับแพลตฟอร์ม (สถาปัตยกรรม และ ระบบปฏิบัติการ)
  3. เหมาะกับการใช้ในระบบเครือข่าย พร้อมมีไลบรารีสนับสนุน
  4. เรียกใช้งานจากระยะไกลได้อย่างปลอดภัย

                ทุกสิ่งทุกอย่างมีความเป็นมาหมดค่ะ แม้กระทั่งเจ้าภาษานี้


                         ภาษาจาวาได้รับการพัฒนาขึ้นโดยบริษัทซัน ไมโครซิสเตมส์ ในปี 1991 ค่ะ โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างผลิตภัณฑ์อิเล็คทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคที่ง่ายต่อ การใช้งาน มีค่าใช้จ่ายต่ำ ไม่มีข้อผิดพลาด และสามารถใช้กับเครื่องใดๆก็ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นข้อดีของจาวาที่เหนื่อกว่าภาษาอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่โปรแกรมซึ่งเขียนขึ้นด้วยภาษาจาวาสามารถนำไปใช้กับเครื่องต่าง ๆ โดยไม่ต้องทำการคอมไพล์โปรแกรมใหม่ ทำให้ไม่จำกัดอยู่กับเครื่องหรือโอเอสตัวใดตัวหนึ่ง แม้ว่าการใช้งานจาวาในช่วงแรกจะจำกัดอยู่กับWorld Wide Web (WWW) และ Internetก็ตามค่ะ  และ ได้มีการนำจาวาไปประยุกต์ใช้กับงานด้านซอฟต์แวร์ต่าง ๆ อย่างมากมาย ตั้งแต่ซอฟต์แวร์อรรถประโยชน์ (Utility) ไปจนกระทั่งซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ เช่น โปรแกรมชุดจากบริษัท Corel ซึ่งประกอบด้วยโปรแกรมหลัก ๆ คือ โปรแกรมเวิร์โปรเซสซิ่ง สเปรดซีต พรีเซนเตชั่น ที่เขียนขึ้นด้วยจาวาทั้งหมดเลยค่า
                        
                         ภาษาจาวายังสามารถนำไปใช้เป็นภาษาสำหรับอุปกรณ์แบบฝังต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์ และอุปกรณ์ขนาดมือถือแบบต่าง ๆ เป็นต้น รวมทั้งยังได้รับความนิยมนำไปใช้กับอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเข้าสู่อินเตอร์เน็ต โดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้แล้ว จาวายังเป็นภาษาที่ถูกใช้งานในคอมพิวเตอร์แบบเอ็นซี (NC) ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์แบบใหม่ล่าสุด ที่เน้นการทำงานเป็นเครือข่ายว่า แอพเพลต (applet) ที่ต้องการใช้งานขณะนั้นมาจากเครื่องแม่ ทำให้การติดต่อสื่อสารสารผ่านเครือข่ายใช้ช่องทางการสื่อสารน้อยกว่าการดึงมาทั้งโปรแกรมเป็นอย่างมากเลยทีเดียวค่า


                          ขอสรุปให้สั้นๆนะคะ 
  • ผู้คิดต้นแบบ คือ James Gosling และคณะ จากบริษัท Sun Microsystems
  • วัตถุประสงค์เดิม คือ ของ จาวาคือใช้สำหรับการเขียนโปรแกรมเพื่อฝังตัวในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
  • ผล คือ ภาษาสำหรับเขียนโปรแกรม (Application Programming) ซึ่งเป็นลักษณะของโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object Oriented Programming) ซึ่งสามารถใช้งานบนเว็บได้ด้วยค่ะ




                           สำหรับการพัฒนาภาษา Java สามารถพัฒนา Application ได้หลากหลายรุปแบบมากค่ะ  อย่างเช่น Application ที่ทำงานบน Windows , Mac , Linux หรือบน Web Application (JSP Java Servlet) และที่กำลังมาแรงสุดในตอนนี้ก็คือ การพัฒนา Application บน Mobileนั้นเองค่า  ซึ่งในปัจจุบันสามารถพัฒนาได้บน Android และ BlackBerry และในอนาคตจะยังมีตามมาอีกหลายตัวแน่นอน ดังนั้นในภาษา Java จะมีรุ่นที่เป็น SDK อยู่หลายตัว เช่นเราอาจจะเคยได้ยินพวก J2SE , J2EE , J2ME หรือ SE , EE , ME เราอาจจะงงว่าทำไมมันถึงมีหลายตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นเพียงแค่รุ่นสำหรับการพัฒนาบน Platform ต่าง ๆ เช่น


  • J2SE ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น SE (Standard Edition) ไว้สำหรับพัฒนาโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะทั่วไป
  • J2EE ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น EE (Enterprise Edition) ไว้สำหรับพัฒนาโปรแกรมในองค์กรใหญ่ๆ หรือมีขอบเขตของโครงการกว้างมาก
  • J2ME ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ME ((Micro Edition) ไว้สำหรับพัฒนาโปรแกรมบนอุปกรณ์พกพา เช่น โทรศัพท์มือถือ หรือพีดีเอ


Java EE, SE , ME

เปรียบเทียบการพัฒนา Java ในรุ่นต่าง ๆ

      

                               ซึ่งปกติแล้วในการพัฒนา Application ด้วยภาษา Java ทั่ว ๆ ไปเราจะใช้รุ่น SE (Standard Edition) ก็จะมี JDK (Java Development Kit) ที่ประกอบไปด้วย compiler และ debugger ของภาษา Java สำหรับนักพัฒนา JRE (Java Runtime Environment) ซึ่งเป็นสิ่งที่รวม library ต่างๆสำหรับการรันโปรแกรมที่พัฒนาด้วย Java ซึ่งถ้าติดตั้ง JDK เพียงตัวเดียวก็จะมี JRE รวมอยู่ด้วย


Java Android


                             มีช่วงหนึ่งที่เจ้าของเนื้อหานี้ได้ทำงานรับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนา App บน Mobile ของ Android ซึ่งในตอนแรกโจทย์ค่อนข้างจะยากสำหรับเขาค่ะ  แต่พอเขาได้ศึกษาจริง ๆ แล้ว การพัฒนา Android ด้วยภาษา Java นั้นง่ายมาก เพราะในโครงสร้างของภาษา Java เองก็เป็น Syntax ที่ง่าย ๆ สามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว และยิ่งถ้าได้เขียนพวก .NET แบบ C#มาแล้วก็จะรู้ว่าใน 2 ภาษานี้มีโครงสร้างที่เหมือนกันมาก และจะทำให้สามารถศึกษาได้อย่างรวดเร็ว


มาดูข้อดีและข้อเสียของภาษาจาวากันค่ะ 

ข้อดีของ ภาษา Java
     -  ภาษา Java เป็นภาษาที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุแบบสมบูรณ์ ซึ่งเหมาะสำหรับพัฒนาระบบที่มีความซับซ้อน การพัฒนาโปรแกรมแบบวัตถุจะช่วยให้เราสามารถใช้คำหรือชื่อ ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในระบบงานนั้นมาใช้ในการออกแบบโปรแกรมได้ ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
     -  โปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยใช้ภาษา Java จะมีความสามารถทำงานได้ในระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน ไม่จําเป็นต้องดัดแปลงแก้ไขโปรแกรม เช่น หากเขียนโปรแกรมบนเครื่อง Sun โปรแกรมนั้นก็สามารถถูก compile และ run บนเครื่องพีซีธรรมดาได้
     -ภาษาจาวามีการตรวจสอบข้อผิดพลาดทั้งตอน compile time และ runtime ทำให้ลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในโปรแกรม และช่วยให้ debug โปรแกรมได้ง่าย
     - ภาษาจาวามีความซับซ้อนน้อยกว่าภาษา C++ เมื่อเปรียบเทียบ code ของโปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยภาษา Java กับ C++ พบว่า โปรแกรมที่เขียนโดยภาษา Java จะมีจํานวน code น้อยกว่าโปรแกรมที่เขียนโดยภาษา C++ ทำให้ใช้งานได้ง่ายกว่าและลดความผิดพลาดได้มากขึ้น 
     -  ภาษาจาวาถูกออกแบบมาให้มีความปลอดภัยสูงตั้งแต่แรก ทำให้โปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยจาวามีความปลอดภัยมากกว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้น ด้วยภาษาอื่น เพราะ Java มี security ทั้ง low level และ high level ได้แก่ electronic signature, public andprivate key management, access control และ certificatesของ
     -มี IDE, application server, และ library ต่าง ๆ มากมายสำหรับจาวาที่เราสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทำให้เราสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับการซื้อ tool และ s/w ต่าง ๆ


    ข้อเสียของ ภาษา Java
    -ทำงานได้ช้ากว่า native code (โปรแกรมที่ compile ให้อยู่ในรูปของภาษาเครื่อง) หรือโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาอื่น อย่างเช่น C หรือ C++ ทั้งนี้ก็เพราะว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาจาวาจะถูกแปลงเป็นภาษากลาง ก่อน แล้วเมื่อโปรแกรมทำงานคำสั่งของภาษากลางนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นภาษาเครื่องอีก ทีหนึ่ง ทีล่ะคำสั่ง (หรือกลุ่มของคำสั่ง) ณ runtime ทำให้ทำงานช้ากว่า native code ซึ่งอยู่ในรูปของภาษาเครื่องแล้วตั้งแต่ compile  โปรแกรมที่ต้องการความเร็วในการทำงานจึงไม่นิยมเขียนด้วยจาวา
    -tool ที่มีในการใช้พัฒนาโปรแกรมจาวามักไม่ค่อยเก่ง ทำให้หลายอย่างโปรแกรมเมอร์จะต้องเป็นคนทำเอง ทำให้ต้องเสียเวลาทำงานในส่วนที่ tool ทำไม่ได้ ถ้าเราดู tool ของ MS จะใช้งานได้ง่ายกว่า และพัฒนาได้เร็วกว่า (แต่เราต้องซื้อ tool ของ MS และก็ต้องรันบน platform ของ MS)




        วาไรตี้ก็มีคลิปวีดิโอสอนเขียนโปรแกรมภาษาจาวามาฝากเพื่อนๆกันค่ะ








เจอกันใหม่นะคะ บ๊ายบายยย





















ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก 

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 3 : Social Network กับนักเรียน และสังคมไทย



            สวัสดีค่าวันนี้วราปาก้าจะมาพูดถึง Social Network กับตัววราปาก้าเอง และ Social Network กับสังคมไทยค่ะ ไปดูกันเลย!!!






Social (adj.) มีความหมายว่า เกี่ยวกับสังคม Network (n.) มีความหมายว่า เครือข่าย ดังนั้น Social Network จะมีความหมายว่า "เครือข่ายสังคมออนไลน์" นั่นเองค่า




            Social Network ก็คือเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงผู้คนไว้ด้วยกัน ผ่านทางอินเตอร์เน็ตค่ะเป็นเว็บไซต์ช่วยให้คุณหาเพื่อนบนโลกอินเตอร์เน็ตได้ง่ายๆ และเรายังสามารถที่จะสร้างพื้นที่ส่วนตัวขึ้นมา เพื่อแนะนำตัวเองได้อีกค่ะ โดยเลือกได้ว่าต้องการรู้จักกับใคร หรือเป็นเพื่อนกับใคร ก็ได้ ตัวอย่างของ Social Network เช่น Hi5, Facebook, MySpace.com, twitter เป็นต้นค่ะ







พฤติกรรมการใช้ Social Network ของคนไทยค่า



            ซึ่งปัจจุบันเราจะเห็นได้เลยค่ะ ว่าเราแทบบบบจะทุกคนเลยที่ใช้ Social Network โดยเฉพาะ Facebook เจ้าตัวนี้นี่แหละค่ะทำให้เรามีเพื่อนบนโลกอินเตอร์เน็ต บางทีอาจจะได้แฟนติดมาด้วยนะคะ อิอิ รู้ไหมคะว่าจำนวนผู้ใช้ Facebook ในประเทศไทยใช้มีมากเป็นอันดับ 9 ของโลก เท่ากับประเทศเยอรมนี โดยมีจำนวนผู้ใช้มากถึง 28 ล้านราย คิดเป็น 42% ของประชากรทั้งประเทศไทย  ส่วนอันดับ 1 ยังเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา อยู่ที่ 180 ล้านราย(ปี พ.ศ.2557) ทุกคนคงทราบดีว่าเจ้า Facebook นี้ดียังไง,ใช้งานยังไง,สะดวกยังไง และทำไมถึงทำให้เรามีเพื่อนบนโลกอินเตอร์เน็ต และแฟนมาได้นะแกก เพราะว่ามีการแชท ซึ่งเป็นอะไรที่สะดวกในการติดต่อสื่อสารมากจริงๆค่ะ ทั้งยังมีการอัปโหลดรูปภาพ การแชร์สิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ,คำคม,วิดีโอ แล้วเพราะการแชร์นี่แหละค่ะทำให้เรารู้ความเคลื่อนไหวในวันหนึ่งๆได้ เพราะอาจจะมีเพื่อนเราใน Facebook บางคนแชร์ข่าวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ซึ่งพอเราเป็นเพื่อนกับเขาใน Facebook เราก็จะสามารถเห็นได้ค่ะ         


            สำหรับตัววราปาก้านะคะ ได้เริ่มใช้ Social Network ครั้งแรกในช่วงสมัยป.5 หรือป.6 นี่แหละค่ะ ตอนนั้นก็ไม่ได้ใช้ทำอะไรมากค่ะ ก็ใช้แต่เปลี่ยนรูปโปรไฟล์ คุยกับเพื่อน แล้วก็มาเริ่มใช้ Facebook ในช่วงประมาณ ม.1 หรื ม.2 ค่ะ ตอนนี้ Facebook นี่เป็นอะไรที่สำคัญกับตัววราปาก้ามากพอสมควรค่ะ เพราะจะไม่ค่อยได้ฟังข่าวค่ะ เลยได้รับข่าวสารบน Facebook นี่แหละค่ะ แล้วจะเป็นคนที่ชอบดูรูปที่สวยๆ อาร์ทๆ เวลาที่รู้สึกเบื่อๆ หรือต้องการกำลังใจ หรือแรงบันดาลใจค่ะ และใช้แชทคุยกับเพื่อนทั้งเรื่องส่วนตัว และงานกลุ่มค่ะ ทุกคนคงรู้ดีนะคะว่าการจะแชร์อะไรลงแต่ละที เราก็ต้องคิดพิจารณาให้ดีก่อน เพราะการที่เราพูดอะไรในทางเสียๆหายๆ ว่าบริษัทนี้ทำแบบนี้ แย่มาก ก็ต้องคิดดีๆก่อนค่ะ เพราะบางทีเราอาจจะผิดก็ได้นะคะ  หรือว่าโพสต์ข้อความแชร์ประจานว่า  ผู้หญิงคนนั้นไปแย่งสามีตัวเองมา ถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริงระวังจะโดนฟ้องนะคะ!!!  การแชร์แต่ละครั้งจะไปทั่วโลกอินเทอร์เน็ตเลยค่ะ  วราปาก้าเองก็คิดนะ เวลาจะแชร์อะไรแต่ละครั้งว่าโพสต์แบบนี้จะดีหรอ ใช้คำรุนแรงแบบนี้คงไม่ดี ไว้ใช้กับเพื่อนแล้วกัน อ้าวววว เห้ย ไม่ใช่แล้วค่า

   
           
             Social Network กับสังคมไทย อย่างที่ทราบกันแล้วว่ามีผู้ใช้ Social Network ในประเทศไทยอยู่เป็นจำนวนมาก และในอนาคตก็น่าจะมีเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ชอบอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม ชอบสื่อสารและแบ่งปันข้อมูลให้แก่กันค่ะ และอยากแสดงออกความมีตัวตนของตน เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่อดีต  เมื่อก่อนคนเขียนบนผนังถ้ำ ผนังกำแพง ผนังวัด  ใบลาน และหนังสือ การรับรู้ของสิ่งที่คนเขียนอยู่ในวงจำกัด และขยายไปให้ผู้อื่นใช้เวลานาน แต่ตอนนี้คนเขียนบนโซเชียลเน็ตเวิร์คผ่าน โมบายแอปหรือเว็บแอปซึ่งรันอยู่บนอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมโยงคนทั้งโลก ทำให้ส่ิงที่คนเขียนแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็วและมีพลังมาก

            Social network ได้เข้ามามีอิทธิพลกับทั้งด้านการศึกษา, ด้านธุรกิจ, ด้านศาสนาและวัฒนธรรม
  • ด้านธุรกิจ "สินค้าหลากหลายชนิดกระโดดมาใช้สังคมออนไลน์เป็นเครื่องมือ" นั่นเพราะจำนวนสมาชิกที่มากมายอาจจะทำให้สินค้านั้นเป็นที่รู้จัก (ในกลุ่มเป้าหมาย) มากกว่าการลงโฆษณาผ่านสื่ออื่น และให้ผลตอบรับที่ดีกว่าโดยไม่ต้องเสียเงินซักบาทเลยด้วยซ้ำ เพราะอะไรล่ะ ทำไมถึงให้ผลตอบรับที่ดีกว่า นั่นเพราะ Social Network ได้ส่งผลอย่างมากต่อกลุ่มคนซึ่งเป็นผู้บริโภคค่ะ
  • ด้านการศึกษา การใช้ Social Network เป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการเรียนรู้ให้เด็กไทย เช่น มีรุ่นน้องของบล๊อกเกอร์คนนึงพยายามสร้างสังคมออนไลน์ขึ้นมาเพื่อส่งเสริมระบบการศึกษาไทยค่ะ ส่งเสริมให้เด็กไทยเขียนบทความกันมากขึ้น หรือมีการรวมกลุ่มเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ผ่านทาง Social Network (http://do.in.th/) นี้ ซึ่งเป็นไอเดียที่แจ่มแมวและเป็นที่น่ายินดีของประเทศไทยที่มีเด็กที่มีความสามารถและเสียสละเพื่อพัฒนาระบบการศึกษาหรือแม้แต่สังคมไทยต่อไปค่ะ เยี่ยมมากค่า 
  • ด้านศาสนา และวัฒนธรรม มีการใช้ Social Media มาช่วยจึงทำให้ศาสนาไม่หายสาปสูญไปเร็วค่ะ ยกตัวอย่างเช่น มีการใช้ Facebook เพื่อเผยแพร่บทความหรือคำพูดที่ให้ข้อคิดจาก ท่าน ว.วชิระเมธีค่ะ 



            วราปาก้าก็ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ อยากฝากถึงเรื่องการใช้ Social Network นิดนึงค่ะ ทุกอย่างมีทั้งข้อดี-ข้อเสีย เพราะฉะนั้นการใช้สิ่งที่เข้าถึงง่ายแบบนี้จะต้องใช้วิจารณญาณ ระมัดระวังทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่ใช่ว่าระแวงนะคะ แล้วก็ไม่หมกมุ่นมากเกินไปเพราะจะทำให้ผลการเรียนตก แถมสายตาจะไม่ดีเอาด้วยนะคะ สุดท้ายนะคะอย่าให้ Social Network เข้ามามีอิทธิพลกับจิตใจเรามากเกินไป เพราะเราคงจะกระวนกระวาย วันๆนึงไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลย คอยคิดและกังวลไปทั่ว จนบางทีเราก็ควรจะอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง เอาใจใส่กับคนรอบข้างเรา คงจะมีความสุขกว่าเยอะเลย จริงไหมคะ? 




   









            

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก
และรูปภาพสวยๆจาก



วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 2 : Happiness




            เคยสังเกตตัวเองกันรึเปล่า? ว่าความสุขเกิดขึ้นตอนไหนบ้าง?  เมื่อไรบ้าง?  เกิดขึ้นได้อย่างไร?  ทำไมถึงรู้สึกมีความสุขเมื่อได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ?  ทำไมถึงรู้สึกมีความสุขเมื่อรู้จักแบ่งปัน? ความสุขคืออะไรนะ? เป็นคำถามที่ถ้าตอบตามทฤษฎีทั่วๆไป ก็คืออาการทางจิต  แต่ถ้าตอบจากความคิดของตัวบล๊อกเกอร์เอง ความสุข ก็คือ ความรู้สึกต่างๆที่เกิดจากสิ่งดีๆที่เราประสบพบเจอ  สิ่งดีๆที่เกิดขึ้นกับตัวเรา  สิ่งดีๆที่เราได้ลงมือทำ  และสิ่งที่เราชอบทำ

            แต่สาเหตุของความสุขของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันถูกไหมคะ  บางคนอาจเกิดความสุขได้จากการร้องเพลง  ความสุขของบางคนก็เกิดจากการได้แต่งตัวแต่งหน้าสวยๆ แต่อย่างไรความสุขของแต่ละคนก็มีส่วนที่เหมือนกันค่ะ เหมือนกันอย่างไรหละ?

            เหมือนตรงที่ ความสุขของเราทุกคนเกิดขึ้นมาจาก

  • การได้ทำในสิ่งที่ต้องการ
  • การมีจิตใจที่สงบ
  • การรับรู้ถึงความสำเร็จ
  • การมีความสัมพันธ์ที่ดี
  • การพัฒนาตน
  • การคิดเชิงบวก
  • การมีสุขภาพกายและจิตที่ดี
  • การกระตือลือล้นทำในสิ่งต่างๆ
  • การรู้สึกพอใจในสิ่งที่มี
  • การกระทำของตน

             ตอนนี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าความสุขคืออะไร เกิดขึ้นจากอะไร  มาต่อกันดีกว่านะ มาดูมาดู          มาดู้....วิธีที่จะทำให้เรามีความสุขในแบบฉบับของตัวบล๊อกเกอร์เอง  Ta-Da !!!  

       
                     
  • การดูหนัง ลองเลือกหนังดีๆขึ้นมาดูซักเรื่อง จะทำให้เรารู้สึกได้ผ่อนคลาย แถมยังได้ข้อคิดดีๆอีกด้วย  
  • การเดินช็อปปิ้ง การที่เราได้เลือกและซื้อเสื้อผ้าดีๆให้กับตัวเองซักตัวสองตัว แค่นี้ก็เหมือนกับการหยิบยื่นความสุขให้กับตัวเองแล้ว เพราะได้ทั้งอิสระในการเลือก และเสื้อผ้าตัวใหม่อีกด้วย แต่ระวังเอาไว้เลย***ถ้าซื้อมากไป จากที่เราจะมีความสุข ก็จะเปลี่ยนเป็นความทุกข์แทนนะจ้ะ
  • การฟังเพลง  เสียงเพลงนี่ดีจริงๆนะ ฟังเพลงกี่ทีๆก็มีความสุข แต่ต้องเลือกเพลงที่มีความหมายในทางบวกนะ ไม่ใช่อยากมีความสุข  แต่เลือกที่จะฟังแต่เพลงอกหัก รักเขาข้างเดียว ขืนฟังแบบนี้คงได้น้ำตาไหลพรากๆ  แน่เลยค่า วาไรตี้มีเพลง Happy - Pharrell Williams มาฝากค่ะ 


ฟังแล้วแฮปปี๊แฮปปี้ ~


  • การดูซิทคอม  หาซิทคอมดูย้อนหลังในวันชิวๆเป็นอะไรที่ดีมาก เพราะให้ทั้งข้อคิด และยังแฝงมุขตลกๆ ให้ได้ฮากันอีก ดีมากๆครับ ลองไปหากันดูนะจ้ะ
  • การออกกำลังกาย  เหงื่ออกจากการออกกำลังกายเป็นอะไรที่รู้สึกดี ฟินมากกกก  มันจะรู้สึกว่าเห้ยย มันสดชื่นอ้ะ แล้วฉันได้เอาไขมันออกอีก...ดี๊ดีค่า  แต่ถ้าหักโหมมากไปก็ดูจะตรึงเครียดไปหน่อยนะ




  • การอ่านหนังสือ  อ่านหนังสือก็ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้นนะ  ทำให้เรามีความรู้หรือ ได้แง่คิดดีๆมาเพิ่มให้กับสมองอีก
  • การกิน  การที่เราได้กินอะไรๆอร่อยๆ นี่มันแบบอู้หูวว เอาอีกๆๆๆๆ!!! ฮ่าๆ  มีความสุขจริงจริ๊งเวลาได้กินเนี่ย 
โอ้ยย...จะกินจะกินน

  • การใช้เวลาร่วมกับพ่อแม่  การได้ใช้เวลากับคนในครอบครัว เป็นสิ่งที่มีความสุข และอบอุ่นที่สุดแล้ว รู้สึกแบบนั้นๆจริงๆ
  • การใช้เวลาร่วมกับเพื่อน  ได้เพื่อนดี ก็มีความสุขแล้วค่า 
  • การพาสุนัข/สัตว์เลี้ยงไปเดินเล่น  ทั้งคนทั้งสุนัข/สัตว์เลี้ยง มีความสุขทั้งสองฝ่ายเลย  แถมได้ออกกำลังกายอีก ชีวิตดี้ดี 
  • การหัวเราะ และยิ้มแย้มอยู่เสมอ  เป็นการกระทำในทางบวก จึงทำให้เรารู้สึกดีมีความสุขค่ะ
  • การทำความดี  การที่เราได้ทำความดี ก็จะทำให้จิตใจของเราดีไปด้วย ก็เลยทำให้มีความสุขนั้นเอง
  • การปล่อยวาง  การที่เราอยากได้นู้น นี่ นั้น มันทำให้เราไม่มีความสุข เพราะฉะนั้นวางมันลงค่ะ ชีวิตจะมีความสุขขึ้น :)

            ความสุขเริ่มจากตัวเรานะคะ คิดดี ทำดี จิตใจก็จะดี แล้วก็มีความสุข   จากวราป้าก้า









วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 1 : เทคโนโลยีกับชีวิตประจำวันของนักเรียน


Hi, everybody! Welcome to my world ! 

                          


              ณ ปัจจุบันจะเห็นได้ว่า "เทคโนโลยี" (Technology) มีมากมายเหลือล้นและได้เข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันของทุกคนเป็นส่วนใหญ่และส่วนมากเลยทีเดียว หนึ่งในนั้นคือดิฉันเองค่ะ 


                 เทคโนโลยี(Technology) คือการนำความรู้ไปใช้ในการปฏิบัติให้เกิดผลเป็นสิ่งที่วัดได้ หรือจับต้องได้เทคโนโลยีจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเทคโนโลยีจึงถูกกำหนดเป็นสินค้าอย่างหนึ่งที่มีราคาซื้อขายกันในตลาด      

 (ที่มา : หนังสือเอกสารวิชาการนโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : วิวัฒนาการและการจัดาการโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการพลังงาน)

                     เทคโนโลยีมี 4 ระดับ ได้แก่

1. เทคโนโลยีระดับเบื้องต้น  สามารถจัดหาได้ภายในประเทศ หรือสามารถพัฒนาขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น เช่น ตู้เย็น โทรศัพท์ เป็นต้น

2. เทคโนโลยีระดับกลาง  มักต้องซื้อจากต่างประเทศ แต่สามารถพัฒนาได้ภายในประเทศ หากมีแผนการพัฒนาที่ต่อเนื่อง เช่น โทรทัศน์  เครื่องเสียง เป็นต้น

3. เทคโนโลยีระดับสูง ต้องซื้ออุปกรณ์จากต่างประเทศ แต่สามารถใช้งานโดยคนไทย หากพัฒนาในประเทศจะต้องซื้อเทคโนโลยีแกนจากต่างประเทศ เช่น คอมพิวเตอร์  โทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นต้น

4. เทคโนโลยีระดับสูงมาก ต้องซื้ออุปกรณ์ และทักษะการใช้งานจากต่างประเทศ  เช่น ระบบคมนาคมสื่อสารขนาดใหญ่

       [ที่มา : หนังสือยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช. -http://www.nstda.or.th) ]


                   สำหรับในชีวิตประจำวันของดิฉันนั้น มีเทคโนโลยีตั้งแต่ระดับเบื้องต้นจนถึงระดับสูงเลย มาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง 


1.กระติกน้ำร้อน ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมาก็เสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อน เพราะเคยอ่านเจอมาว่าถ้าดื่มน้ำอุ่นๆตอนเช้าจะทำให้จิตแจ่มใสและยังสมองปลอดโปร่งอีกด้วย คือดีมากค่ะ 





                                   (ที่มา:http://srv-live.lazada.co.th/p/image-88115-1-product.jpg)

2.ตู้เย็น พอเริ่มหิวก็จะเริ่มสำรวจหาอาหาร หรือกับข้าวในตู้เย็นที่คิดว่าจะรับประทาน เพื่อนำมาอุ่น หรือทำอาหารค่ะ
                        (ที่มา:http://www.vcharkarn.com/uploads/sites/6/2014/04/Refrigerator1.jpg)

3.ไมโครเวฟ พอได้อาหารที่อยู่ในตู้เย็นแล้วก็น้ำเอาเข้าไมโครเวฟค่ะ 



                         (ที่มา: http://img.tarad.com/shop/s/sbe/img-lib/spd_20110830233138_b.jpg)

เห็นอาหารที่อยู่ในไมโครเวฟแล้วก็หิ๊ววว...หิว เขียนบล๊อกเสร็จคงต้องจัดอาหารชุดใหญ่เลย~

4.โทรทัศน์ วันๆนึงก็ต้องดูต้องฟังข่าวสารกันบ้าง ให้ตามทันโลกกันหน่อย ทั้งข่าวอาชญากรรม ข่าวต่างประเทศ หรือแม้แต่ข่าวเทคโนโลยี  


                   (ที่มา:http://www.dmc.tv/images/0-articles/general_knowledge/400-i260612.jpg )

5.รถยนต์ อยากจะไปไหนก็ขอร้องคุณพ่อให้ไปส่งนี่แหละค่ะ เพราะทั้งสะดวก ส่วนตัว และสบาย ยกนิ้วให้เลยค่า



6.สมาร์ทโฟน(Smartphone) สิ่งนี้เลยค่ะ...สิ่งนี้ เป็นอะไรที่สำคัญกับตัวดิฉันเองมากถึงมากที่สุด บางช่วงก็ติดมาก บางช่วงก็แถบไม่หยิบมาใช้เลยค่ะ จะขอขยายความเยอะหน่อยนะคะ เนื่องจากส่วนใหญ่ทุกคนมีสิ่งนี้อยู่ในมือกันค่ะ สมาร์ทโฟน คืออะไร บางคนอาจจะยังไม่ทราบก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นไปดูกันเลย! ฟิ้ววว  
สมาร์ทโฟน(Smartphone) เปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์ขนาดพกพาในมือของท่าน มีทุกอย่างที่คอมพิวเตอร์มี เช่น CPU ความจำภายในฮาร์ดดิสก์ (ซึ่งในโทรศัพท์เรียกว่า รอม) เป็นต้น หากต้องการติดตั้งระบบปฏิบัติการต่างๆ (ระบบ XP ในคอมพิวเตอร์ ระบบแอนดรอยด์ในโทรศัพท์) ผู้ใช้สามารถเลือกแอปพลิเคชั่นที่ต้องการใช้ได้ และสามารถสัมผัสกับประสบการณ์ความอัจฉริยะใหม่ๆได้แน่นอนว่าปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์นั้นก็สามารถเกิดขึ้นได้กับสมาร์ทโฟนได้เช่นกัน ถือเป็นเหตุการณ์ปกติ เช่น หากใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน ระบบต่างๆในคอมพิวเตอร์ก็จะเริ่มทำงานช้าลง การติดตั้งแอพพลิเคชั่นที่ไม่ได้มาตรฐานหรือมีพลังงานที่ไม่เพียงพอก็สามารถทำให้เครื่องค้างได้ หรือแม้กระทั่งการติดไวรัสก็สามารถส่งผลให้ระบบหรือข้อมูลเสียหายไปได้ ดังนั้นผู้ใช้ควรสร้างความเคยชินในการบำรุงรักษา "โทรศัพท์" ของท่าน
(ที่มา:http://www.vivo.co.th/knowledge-about-smartphone.php?topic=2)

สำหรับดิฉันก็จะใช้สมาร์ทโฟน เพื่อติดต่อกับพ่อแม่ และเพื่อนๆค่ะ ทั้งผ่านการโทรออก และผ่านแอปพลิเคชั่น(Application)ทางระบบแอนดรอยด์ ก็คือ ระบบปฏิบัติการของสมาร์ทโฟนที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยกูเกิ้ล (Google) ซึ่งเปรียบเหมือนกับระบบ XP ของคอมพิวเตอร์ ระบบแอนดรอยด์จัดได้ว่าเป็นระบบที่เปิดกว้างระบบหนึ่ง เพราะสามารถรองรับซอฟแวร์ได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งยังมีแอปพลิเคชั่นให้ดาวน์โหลดโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอย่างมากมาย เมื่อเทียบกับแอปเปิ้ลที่แอปพลิเคชั่นส่วนใหญ่ต้องเสียค่าใช้จ่าย สำหรับปัจจุบัน ระบบปฏิบัติการที่สำคัญของสมาร์ทโฟนได้แก่ ระบบแอนดรอยด์ (Android) ระบบไอโอเอส (IOS) ของ Apple และระบบวินโดว์(Windows) (ที่มา: http://www.vivo.co.th/knowledge-about-smartphone.php?topic=4)

ส่วนแอปพลิเคชั่น(Application) ก็คือ โปรแกรมประเภทหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้งานบนมือถือหรือแทบเล็ตครับโดยแอพนั้น เราจะเห็นได้ในมือถือหรือแทบเล็ตที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Android และ iOS
(ที่มา:http://www.manacomputers.com/what-is-app-how-different-software/)


แอปพลิเคชันที่ดิฉันใช้ก็จะมีหลายอย่างมาก ได้แก่

  • Facebook : ดิฉันจะใช้ติดต่อสื่อสารกับเพื่อนๆในห้อง เพราะว่า
    เรามีกลุ่มห้องกันอยู่ในแอปพลิเคชันนี้ ทำให้การติดต่อสื่อสารง่าย และสะดวก ไม่ต้องเสียตังค์ค่าโทรศัพท์ด้วย หรือบางทีถ้ามีงานกลุ่มก็สามารถแบ่งงานกันทำ และแยกกันทำได้โดยไม่ต้องนัดไปทำที่ใดที่หนึ่ง แล้วก็จะใช้ดูคลิปตลกๆ เฮฮา ไว้คลายเครียด      

  • Line : ใช้ติดต่อ โทรฟรี และวีดิโอคอล กับพ่อแม่ และเพื่อนๆ 

  • Instagram : ใช้ดูรูปสวยๆงามๆ เวลาเบื่อๆค่ะ












                 ตามจริงทั้งเทคโนโลยีที่ใช้ และแอปพลิเคชั่นที่ใช้ยังมีมากกว่านี้ค่ะ ทั้งคอมพิวเตอร์ , โน๊ตบุ๊ค,เครื่องปรับอากาศ, พัดลม, Youtube และ Google แต่ถ้าจะให้เล่าให้ฟังทั้งหมดคงจะเยอะเกินไป ขอพูดโดยรวมๆนะคะ คือเราจะเห็นได้เลยค่ะว่าเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับดิฉันเยอะมาก ทั้งๆที่บอกเล่าไม่หมด แต่การใช้แอปพลิเคชันต่างๆก็ต้องระวังนะคะ อาจจะมีมิจฉาชีพมาหลอกลวงเราก็ได้ ซึ่งถึงอันตรายยังไงมากน้อยแค่ไหน ถ้าเราใช้ในทางที่ถูก และปลอดภัย ยังไงก็ดีค่ะ เพราะเทคโนโลยี ณ ปัจจุบัน ถือว่าทำให้เราสะดวกสบายมากขึ้นเยอะเลย 


                 ขอบคุณนะคะที่เข้ามาอ่านกัน มีอะไรก็สามารถติชมกันได้เลยค่ะ