วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Week 9 : อย่าตัดสินคนจากภายนอก






               สวัสดีค่า !!! ดูวีดิโอนี้แล้วเป็นไงบ้างคะ หลายๆคนก็คนน้ำลายไหลกันเป็นสายน้ำไหลเชี่ยวเลยน้า อิอิอิ ทุกคนน่าจะเคยเห็นวีดิโอแนวนี้กันมาสักพักแล้วเนอะ และคงทราบกันดีว่า มันคือ.... คือ........ #Don't Judge Challenge นั้นเอง   อ้าวผมแปลไม่ออกพี่ อ้ะๆเดี๋ยวพี่จะบอกให้นะ   


               #Don't Judge Challenge  ที่เราเห็นๆกัน คือ วีดิโอที่วัยรุ่นฝั่งตะวันตกทำขึ้นมาโดยตอนแรกหน้าจะเป็นสิว เป็นหน้าด่างดำๆ โดยใช้เครื่องสำอางค์ในการทำให้หน้าเละเทะตุ้มเป๊ะไปหมด ซึ่งดูแล้วไม่คิดว่าตอนหลังจะล้างหน้าออกมาได้สวย หล่อ ขนาดนี้!!! ซึ่งวีดิโอในลักษณะแบบนี้ มีที่มาจากคลิปอันนี้ 





ทำโดยบล๊อคเกอร์ความงามชาวต่างชาติ เขาอัดคลิปประมาณว่าตอนหน้าสดๆไม่มีเมคอัพ หน้าเธอสิวเขรอะเต็มไปหมด แล้วก็มีประโยคคำพูดที่สื่อว่าคนที่เห็นหน้าของเธอตอนสิวเขรอะต่างวิจารณ์เธอว่าหน้าตาน่าเกลียด เธอก็เลยแต่งหน้าออกมาจนสวยเช้ง แน่นอนว่าเสียงวิจารณ์ภายนอกที่เคยด่าเธอว่าน่าเกลียด กลับกลายเป็นคำชมที่บอกว่าเธอสวยจัง บล๊อคเกอร์ความงามคนนี้ก็ตั้งคำถามว่า สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วงั้นหรือ สุดท้ายแล้วสิ่งที่คนชื่นชมว่างดงามไม่ใช่ตัวตนของเธอ แต่เป็นการประทินผิวที่เธอบรรจงทำเป็นชั่วโมงต่างหาก แล้ววันรุ่งขึ้นถ้าเธอตื่นขึ้นมาล้างหน้าไม่มีเมคอัพมีแต่หนังหน้าสดๆ คนจะยังชื่นชมว่าเธอสวยอีกมั้ย ตอนท้ายคลิป บล๊อคเกอร์คนนี้ก็ปาดเอาเครื่องสำอางของตัวเองออกจนหมด เหลือแต่หน้าที่ปราศจากการแต่งหน้า เพื่อสื่อว่า ความงามของคนเกิดจากภายใน ไม่ได้เกิดจากเครื่องสำอางหรือความงามภายนอกใดๆทั้งสิ้น (ความคิดเห็นหนึ่งจากสมาชิกในพันทิป) 




และจากกระทู้พันทิปหนึ่ง #Don't Judge Challenge นี้ ต้องการสื่อว่า "คนเรามักจะคิดว่าคุณค่าของตัวเรานั้น มาจากคนอื่นๆที่คอยตัดสินเรา ว่าเราดูดี ดูหล่อ ดูสวย ดูเพอร์เฟ็คแต่ว่าจริงๆแล้วการเห็นคุณค่าของตนเองเนี่ย มันมาจากความมั่นใจในตัวเองที่เรามีให้ภูมิใจ มั่นใจในตัวเอง และมีความสุขกับตัวตนที่ตัวเองเป็นโดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงว่ารูปร่างหน้าตาของเราจะเป็นอย่างไรเพราะคนทุกคน ดูดี สวย หล่อ ในแบบที่ตัวเองเป็นกันอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นจะต้องให้ใครมาตัดสินว่าเราสวยหรือขี้เหล่" 


                         ที่พูดถึงเรื่องกระแสนี้ ก็เพื่อจะสื่อว่า don't judge a book by its cover อย่าตัดสินคนจากภายนอกค่ะ เพราะสิ่งที่เราเห็นเพียงเปลือกนอกไม่สามารถบ่งบอกถึงจิตใจคนได้ เราควรจะเปิดตาและมองเขาในหลายๆด้าน ก่อนที่จะตัดสินใครค่ะ 

                         มีอยู่ช่วงหนึ่งค่ะ ที่วาไรตี้เห็นในหน้า Feed ของ Facebook ซึ่งสื่อให้เราเห็นว่า อย่าตัดสินคนจากภายนอกจริงๆค่ะ 




































                     วันนี้มีแต่ข้อคิดดีๆเต็มเบย วาไรตี้ลาไปก่อน ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ Bye~












ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก:
1.https://www.youtube.com/watch?v=M7-o_zpa1dI
2.http://pantip.com/topic/33912065
3.http://www.yahwawah.com/%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%8A%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%86%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B5/







วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Week 8 : Review / แนะนำ การใช้งานโปรแกรม / Application >>>>>> Google Maps









                   

                    กลับมาพบกับวาไรตี้เช่นเคยนะคะ  หลายคนอาจจะงงกับชื่อของ             บล๊อกเกอร์เนอะ  ตัวบล๊อกเกอร์เองก็งงค่ะ555555555  เอาเป็นว่ายังไงก็เป็นคนๆเดียวกันหมดเลยนะ  เข้าเรื่องกันดีกว่าค่า  วันนี้วาไรตี้จะมานำเสนอ  Application  ดีๆ  ที่สามารถดาวน์โหลดไปติดตั้งได้ฟรี ๆ บนโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตทั้ง iOS (iPhone, iPad, iPod) และระบบปฏิบัติการ Android                    ทุกรุ่นทุกยี่ห้อค่ะ  หรือเข้าเว็บไซต์นี้ค่ะ  https://maps.google.com  
ไปทำความรู้จักกับ Google maps ให้มากขึ้นกันดีกว่านะ  วาไรตี้ก็คิดนะว่าทุกคนคงรู้จักมันอยู่แล้ว แต่ก็ไปดูกันหน่อย อาจจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ยังไม่รู้ก็ได้นะ
                   



                    Google Maps คือบริการของ Google ที่ให้บริการ เทคโนโลยีด้านแผนที่ประสิทธิภาพสูงค่ะ  ซึ่งใช้งานง่าย และ ให้ข้อมูลของธุรกิจในท้องถิ่น ได้แก่ ที่ตั้งของธุรกิจ         รายละเอียดการติดต่อ และเส้นทางการขับขี่ โดย บริการแผนที่นี้เริ่มต้นให้บริการตั้งแต่กลางปี         ค.ศ. 2005 เป็นบริการฟรี จัดให้แก่ ผู้ใช้ทั่วโลกส่วนประกอบ ที่สำคัญที่ดึงดูดผู้ใช้งานเป็นอย่างมาก คือแผนที่และ ภาพถ่ายดาวเทียมคุณภาพดี ซึ่งครองคลุมพื้นผิวโลก ในมาตราส่วนต่างๆ ตามความเหมาะสม


                   อยากได้ Google Maps ติดสมาร์ทโฟนไว้ ต้องทำยังไง? โหลดก่อนเลยยยย แต่ส่วนมากซื้อมาก็ติดมาให้เลยนะ 555555 บางคนอาจจะไม่มีก็ได้ อ้ะๆ โหลดก่อน ก็เข้าไปโหลดกันใน App store สำหรับคนที่ใช้ระบบ ios  หรือ สำหรับคนที่ใช้ระบบ Android ก็ไปที่ Play store ค่ะ  ตัววาไรตี้เองใช้ Android ค่ะ  ไปดูกันว่าวาไรตี้ทำยังไงถึงได้ Google Maps มา



อย่างแรกเลย คือ ไปที่ Play Store แล้วเข้าไปเล๊ยยย


 
แล้วก็จะได้แบบนี้ค่า  พอได้แบบนี้ก็พิมพ์คำว่า Google maps ลงไปค่ะ

                
แล้วก็จะเป็นที่เห็นแบบนี้ค่า  ให้กดไปที่ Maps อันแรกเลยค่า นั้นแหละค่ะ Google Maps

                        
สำหรับวาไรตี้ได้โหลดไว้อยู่แล้วค่ะ เพื่อนๆคนไหนยังไม่มีไว้ติดตัวก็กดคำว่า " INSTALL " นะคะ

                  


หลังจากโหลดมา และเปิดจะได้แบบนี้ค่ะ

คราวนี้เราไปดูประโยชน์และวิธีการใช้ของเจ้าตัวนี้กันค่ะ

  • Google Maps สามารถนำทางเราได้แล้วค่ะ โดยมีสมาชิกท่านหนึ่งหนึ่งในพันทิป มารีวิวให้ดูค่ะ กระทู้นี้เลย เข้าไปดูกันนะ มีวีดิโอแนะนำการใช้งาน เรียกได้ว่าครบทุกกระบวนการเลยก็ว่าได้



  • รู้หรือไม่ ? Google Maps สะกดรอยตามคุณทุกที่ที่คุณเดินไป โดยที่คุณไม่รู้ตัว วีดิโอนี้จะบอกเพื่อนๆทุกคนเองค่ะ  พร้อมทั้งวิธีป้องกันค่ะ


  • วิธีการใช้ Google maps ค่ะ 


                       
                        วันนี้เพื่อนๆก็ได้วิธีการใช้ Google Maps  กันไปแล้ว วาไรตี้หวังว่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆทุกคนนะคะ ตัววาไรตี้เองก็พึ่งรู้ว่า Google Maps เนี่ย สะกดรอยตามเราได้ โอ้โห เป็น Application ที่สุดยอดจริงๆค่ะ  โหลดกันเยอะๆนะคะ 







ฮั่นน่อว!!! หล่ออ้ะดิ้ ... ไปแล้วนะ บ๊ายบายยยย 












ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก:
1.http://pantip.com/topic/30710544
2.http://www.it24hrs.com/2014/google-location-history/
3.https://www.youtube.com/watch?v=i46Lxe-g8_M
4.https://www.youtube.com/watch?t=125&v=foCTfHGgfJ8
และขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก:
1.http://netvantagemarketing.com/blog/wp-content/uploads/2014/01/Google-Maps.jpg
2.http://33.media.tumblr.com/c350b8981d5ad667d4bff5c4bd8564d3/tumblr_nfuqesf3qP1s392ayo5_250.gif


วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Week 7 : คอมพิวเตอร์ และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์


               Bello ! สวัสดีค่า วันนี้จะพาไปทำความเข้าใจกับคอมพิวเตอร์ และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์กันนะคะ







                            วราคิดว่าทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าคอมพิวเตอร์เป็นอย่างไร และคืออะไร แต่อาจจะไม่รู้อย่างละเอียดก็ได้นะคะ ไปดูกันหน่อยดีกว่าเนอะ :)






               คอมพิวเตอร์ คือ อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ (electronics device) ที่มนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการกับข้อมูล ที่อาจเป็นได้ ทั้งตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความหมายในสิ่งต่าง ๆ โดยคุณสมบัติที่สำคัญของคอมพิวเตอร์คือการที่สามารถกำหนดชุดคำสั่งล่วงหน้าหรือโปรแกรมได้ (programmable) นั่นคือคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชุดคำสั่งที่เลือกมาใช้งาน ทำให้สามารถนำคอมพิวเตอร์ไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างกว้างขวาง เช่น ใช้ในการตรวจคลื่นความถี่ของหัวใจ การฝาก - ถอนเงินในธนาคาร การตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ เป็นต้น ข้อดีของคอมพิวเตอร์ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธภาพ มีความถูกต้อง และมีความรวดเร็ว


               อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นงานชนิดใดก็ตาม เครื่องคอมพิวเตอร์จะมีวงจรการทำงานพื้นฐาน 4 อย่าง (IPOS cycle) คือ
  1. รับข้อมูล (Input) เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำการรับข้อมูลจากหน่วยรับข้อมูล (input unit) เช่น คีบอร์ด หรือ เมาส์
  2. ประมวลผล (Processing) เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำการประมวลผลกับข้อมูล เพื่อแปลงให้อยู่ในรูปอื่นตามที่ต้องการ
  3. แสดงผล (Output) เครื่องคอมพิวเตอร์จะให้ผลลัพธ์จากการประมวลผลออกมายังหน่วยแสดงผลลัพธ์ (output unit) เช่น เครื่องพิมพ์ หรือจอภาพ
  4. เก็บข้อมูล (Storage) เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำการเก็บผลลัพธ์จากการประมวลผลไว้ในหน่วยเก็บข้อมูล เพื่อให้สามารถนำมาใช้ใหม่ได้ในอนาคต







                             
                          
  เครือข่ายคอมพิวเตอร์ คือ การนำเอาเครื่องคอมพิวเตอร์หลาย ๆ เครื่องมาเชื่อมโยงให้มีการสื่อสารข้อมูลระหว่างกัน การเชื่อมโยงเครือข่ายต้องอาศัยตัวกลางหรือสายเชื่อมโยง เช่น สายสัญญาณ เส้นใยนำแสง ดาวเทียม
                       
                           เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่องมาเชื่อมต่อกัน   เพื่อวัตถุประสงค์ดังนี้ 
   - เพื่อให้ผู้ใช้สามารถติต่อสื่อสารกัน 
   - เพื่อให้ใช้ทรัพยากรร่วมกัน 
   - เพื่อใช้ข้อมูลหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน

                            ประเภทของระบบเครือข่าย แบ่งตามลักษณะการติดตั้งทางภูมิศาสตร์แบ่งได้เป็น 4 ประเภท




   1. เครือข่ายท้องถิ่น ( Local Area Network : LAN ) เป็นเครือข่ายระยะใกล้ ใช้บริเวณเฉพาะที่เช่นภายในอาคารเดียวกัน หรือภายในบริเวณเดียวกัน ระบบแลนจะช่วยให้มีการติดต่อกันได้สะดวก ช่วยลดต้นทุน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ร่วมกัน และใช้ข้อมูลร่วมกันได้อย่างคุ้มค่า





  2. เครือข่ายระดับเมือง ( Metropolitan Area Network : MAN ) เป็นเครือข่ายขนาดกลางใช้ภายในเมืองหรือจังหวัด หรือเป็นกลุ่มของเครือข่าย LAN ที่นำมาเชื่อมต่อกันเป็นวงที่ใหญ่ขึ้นภายในพื้นที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้งานให้ครอบคลุมเมืองทั้งเมือง ซึ่งอาจเป็นเครือข่ายเดียวกัน
เช่น เครือข่ายเคเบิลทีวี หรืออาจเป็นการรวมเครือข่ายกันของเครือข่าย LAN หลาย ๆ เครือข่ายเข้าด้วยกัน   ตัวอย่างเช่น เคเบิลทีวี



                             
3. เครือข่ายระดับประเทศ ( Wide Area Network : WAN ) เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ ติดตั้งใช้งานบริเวณกว้างมีสถานีหรือจุดเชื่อมมากมาย และใช้สื่อกลางหลายชนิด ตัวอย่างเช่น ไมโครเวฟ ดาวเทียม


4. เครือข่ายระหว่างประเทศ ( International Network ) เป็นเครือข่ายที่ใช้ติดต่อระหว่างประเทศ โดยใช้สายเคเบิล หรือดาวเทียม

รูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่าย มี 4 แบบค่ะ คือ
  1. เครือข่ายแบบบัส (bus topology)
  2. เครือข่ายแบบวงแหวน (ring topology)
  3. เครือข่ายแบบดาว (star topology)
  4. เครือข่ายแบบเแมช (mesh topology)

          วราได้นำเอาวีดิโอที่สั้น กระชับ เข้าใจง่ายมาให้เพื่อนๆ ดูกันนะคะ  (ขอขอบคุณข้อมูลจากคุณ janjira sirirak : https://www.youtube.com/watch?v=_UdZczIJeuI)

                          
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ  เจอกันใหม่ week 8 นะ  See you next time! 





ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก






วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Week6 : วิเคราะห์ข้อสอบ O-NET วิชาคอมพิวเตอร์ 5 ข้อ




              Hello!!! วันนี้วราจะพาเพื่อนๆวิเคราะห์ข้อสอบ O-NET วิชาคอมพิวเตอร์กันค่า เอาไว้เตรียมตัวสอบกันปีหน้านะสำหรับเด็ก ม.6 ทั้งหลาย ไปดูๆกันเล๊ยย...




ข้อสอบ O-NET วิชาคอมพิวเตอร์ ปีการศึกษา 2552
22. ขอใดเปนจํานวนเลขฐานสองซึ่งมีคาเทากับ 108 (ซึ่งเปนเลขฐานสิบ) 
          1. 00100100 
          2. 01101100 
          3. 10100000 
          4. 01101111

มาวิเคราะห์กันนะคะ ข้อ 2 01101100 = 108 
                            ข้อ 1 00100100 = 36 
                            ข้อ 3 10100000 = 160 
                            ข้อ 4 01101111 = 111
เพราะฉะนั้นจึงตอบข้อ 2 ค่า



 24. ขอใดตอไปนี้ไมใชระบบปฏิบัติการคอมพวเตอร์ 
          1. Microsoft Windows 
          2. Ubuntu 
          3. Symbian 
          4. MAC Address 

มาวิเคราะห์กันนะคะ ข้อ 4 MAC Address ไม่ใช่ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ 
                            ข้อ 1 Microsoft Windows เป็นระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่ง 
                            ข้อ 2 Ubuntu เป็นระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ในตระกูล Linux 
                            ข้อ 3 Symbian เป็นระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์แบบพกพา หรือ Smart Phone 
เพราะฉะนั้นจึงตอบข้อ 4 ค่า



25. รูปนี้เปนหัวเชื่อมตอประเภทใด และใชสําหรับงานประเภทใด 





          1. VGA ใชตอคอมพิวเตอรเขากับจอแสดงผล 
          2. DVI ใชตอคอมพิวเตอรเขากับจอแสดงผล 
          3. USB ใชตอคอมพิวเตอรเขากับอุปกรณเสริม 
          4. FireWire ใชต อคอมพิวเตอรเขากับอุปกรณเสริม

มาวิเคราะห์กันนะคะ ข้อ 1 ในรูปเป็นหัวต่อแบบ VGA 
                            ข้อ 2 ในรูปไม่ใช่หัวต่อแบบ DVI 
                            ข้อ 3 ในรูปไม่ใช่หัวต่อแบบ USB 
                            ข้อ 4 ในรูปไม่ใช่หัวต่อแบบ FireWire
เพราะฉะนั้นจึงตอบข้อ 1 ค่า


ขอมูลนี้ใชตอบคำถามขอ 26 






26.การต่อหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ข้ากับคอมพิวเตอร์นั้ ต้อง
     ต่ออุปกรใด ข้ากับส่วนไนของ  Main board
1.     2 + 3  → 10                                                   
2.     2 + 4 → 8
3.      8                                                           
4.     3 10

มาวิเคราะห์กันนะคะ ข้อ 2 การต่อหน่วยประมวลผลกลาง ให้นำหน่วยประมวลผลกลาง (รูปเบอร์ 2) ไป ต่อกับพัดลมระบายความร้อน (เบอร์ 4) แล้วนำไปเสียบกับช่อง Socket บน Mainboard (เบอร์ 8)   
ข้อ 1 หน่วยประมวลผลกลางต่อเข้ากับสาย IDE (เบอร์ 3) ไม่ได้                             
ข้อ 3 ไม่ได้ต่อหน่วยประมวลผลกลาง                            
ข้อ 4 เป็นการต่อสาย IDE (เบอร์ 3) เข้ากับช่องต่อสาย IDE บน Mainboard (เบอร์ 10)
        เพราะฉะนั้นจึงตอบข้อ 2 ค่า




ข้อสอบ O-NET วิชาคอมพิวเตอร์ ปีการศึกษา 2553

1.ข้อใดไม่ใช่ระบบปฏิบัติการที่นำมาใช้บนอุปกรณ์พกพา
ประเภท  Smartphone

1.  Ubumtu       

2.  Iphone  os
3.  Android      

4.  Symbianมาวิเคราะห์กันนะคะ ข้อ 1 Ubuntu คือกลุ่มของคนที่พัฒนาระบบปฏิบัติการ เพื่อให้สามารถนำไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งที่เป็นเครื่องแบบผู้ใช้งานทั่วไป (Client) หรือแบบเครื่องแม่ข่าย (Server)
ข้อ 2 iPhone OS เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับสมาร์ทโฟนของบริษัทแอปเปิล 
ข้อ 3 Android เป็นระบบปฏิบัติการที่มีพื้นฐานอยู่บนลินุกซ์ ในอดีตถูกออกแบบมาสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้จอสัมผัสเช่นสมาร์ทโฟน ปัจจุบันได้แพร่ไปยังอุปกรณ์หลายชนิด เช่น Nikon S800C กล้องดิจิตอลระบบแอนดรอยด์
ข้อ 4 Symbian คือ ระบบปฏิบัติการสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่  
เพราะฉะนั้นจึงตอบข้อ 1 ค่า


                   หวังว่าจะช่วยทบทวนความรู้ที่เพื่อนๆเคยได้เรียน และเป็นแนวข้อสอบนะคะ ไปแล้วนะ บ๊ายบายยย














ขอขอบคุณข้อมูลจาก
และรูปภาพสวยๆจาก


วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 5 : กำลังใจ



             กำลังใจ...





                    สิ่งที่ทำให้เรามีความมานะบากบั่น และมีความตั้งมั่นที่จะฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆจนไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จได้นั้นคือ กำลังใจ ของแต่ละคนค่ะ วราก็เช่นกันค่ะ วราคิดว่ากำลังใจนั้นเป็นเสมือนแรงขับเคลื่อนให้เราทำสิ่งต่างๆจนสำเร็จ  เป็นสิ่งที่คล้ายกับเวทมนต์เลยทีเดียวค่ะ พอเราเสกเวทมนตร์กำลังใจนี้เข้าตัวเราปุ๊บ! ก็ทำให้เรารู้สึกดี มีแรงที่จะทำทุกอย่าง มีแรงที่จะสู้ต่อไป












                          กำลังใจ  แม้จะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น  แต่ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงพลังอันสำคัญนี้  หลวงวิจิตรวาทการได้เขียนในหนังสือชื่อ กำลังใจ ว่าการที่คนเราจะเผชิญชีวิต หรือฟันฝ่าอนาคตให้ลุล่วงไปด้วยดีได้นั้น เราจะต้องมีกำลังถึง 3 ประการด้วยกัน คือ กำลังกาย  กำลังความคิด  และกำลังใจค่ะ  กำลังกาย หมายถึง ความเป็นผู้มีอนามัยดี  ร่างกายแข็งแรง ซึ่งเป็นความสำคัญเบื้องต้น  กำลังความคิด  หมายถึง  วิชาความรู้และมันสมองที่ดี  ส่วนกำลังใจ หมายถึง สมรรถภาพ               (ความสามารถ)ของดวงจิต ที่เป็นเครื่องส่งเสริมและควบคุมให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปโดยเรียบร้อย เหมาะสม  กำลังทั้งสามนี้มีความสำคัญเท่าๆกัน  แต่หากจะขาดหรือบกพร่องในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว  อย่าให้เป็นเรื่องขาดกำลังใจ  เพราะถ้าขาดกำลังใจแล้ว  จะเอากำลังกาย หรือ      กำลังใจมาทดแทนกำลังใจไม่ได้เลย










             + รู้หรือไม่ว่า  โดยทั่วไปกำลังใจของคนเรานั้นจะมี 2 แบบ คือ 

  1. กำลังใจแบบที่เกิดขึ้นเอง  มักเกิดในสภาพจิตที่รุนแรง หรือเกิดจากความสะเทือนใจอย่างหนัก  และมักให้โทษมากกว่าคุณ  เนื่องจากเป็นกำลังใจที่เกิดจากอารมณ์ต่างๆค่ะ เช่น ความโกรธ ความกลัว กำลังใจที่ว่านี้เป็นกำลังใจที่โลดโผน  เกิดขึ้นชั่วแล่น แล้วก็ดับหายไป 
  2. กำลังใจแบบที่เราก่อให้เกิดขึ้น หรือสร้างขึ้น  จะเป็นกำลังใจที่ให้คุณ  และมีความยั่งยืนกว่า  เพราะเกิดจากดวงจิตที่ตั้งมั่นจะมีชีวิตอย่างเป็นตัวของตัวเอง  ไม่ปล่อยไปตามยถากรรม อีกทั้งเป็นเครื่องมือที่จะช่วยแก้ปัญหาความยากลำบากในชีวิต  และยังช่วยเพิ่มพูนกำลังกาย และกำลังความคิดได้อีกด้วย 



                  โอ้โห วราก็พึ่งรู้นะคะว่ากำลังใจนี้มีให้โทษด้วย  ต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติกันมากๆเลยนะคะเนี่ย และตามธรรมดา  การที่เราจะรู้ว่าใครมี กำลังใจ หรือไม่  ย่อมต้องมีเหตุแสดงให้เห็น  เช่น  เมื่อเกิดปัญหาชีวิต  เกิดโรคภัยไข้เจ็บ แต่คนที่มีกำลังใจจะไม่กลัวและพร้อมจะต่อสู้เพื่อให้อุปสรรคเหล่านี้หมดไป  ส่วนคนที่ขาดกำลังใจจะรู้สึกหดหู่ซึมเศร้าอยู่เป็นนิตย์ มองเห็นแต่ปัญหา และหาทางออกไม่เจอ อย่างไรก็ตามค่ะ กำลังใจเป็นสิ่งที่สร้างให้เกิดขึ้นได้  วราคอนเฟิร์มค่า!!!  โดยกลุ่มประชาสัมพันธ์  สำนักงานคณะกรรมการแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ได้ยกตัวอย่างบางวิธีมาเสนอดังนี้ค่ะ


  • ขจัดความกลัว โดยทั่วไปคนจะกลัว 4 เรื่อง คือ กลัวผี กลัวคน กลัวภัยเฉพาะหน้า และกลัวเหตุร้ายจะมาถึง คนที่มีความกลัวอยู่ในนิสัย หรือที่เรียกว่า คนขลาด นั้น ยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต ดังนั้น เราอาจขจัดความกลัวได้ 2 วิธี คือ วิธีของพระพุทธเจ้า  พระพุทธองค์ทรงสอนว่า  สิ่งที่ขจัดความกลัวที่ได้ผลที่สุด คือ การแผ่เมตตาจิต  ปลูกฝังไมตรีให้เป็นธรรมะประจำใจ  ส่วนอีกวิธี คือ วิธีแบบจิตวิทยา สอนให้สอนในความเป็นจริง คือให้รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ความกลัวเป็นศัตรุร้ายแรงของกำลังใจ  การฝึกขจัดความกลัว จึงเป็นหนึ่งในวิธีสร้างกำลังใจโดยตรง  





การแผ่เมตตา เป็นหนึ่งในวิธีการสร้างกำลังใจ







  • ขจัดความหวาดวิตก  ซึ่งเป็นภัยร้ายที่ทำลายทั้งสุขภาพและความคิด ดังนั้นเราจะต้องแก้ไขโดยหัดมองโลกในแง่ดี คิดในทางบวก  คิดว่าต้องทำได้อยู่เสมอ วราคิดว่าถ้าทำข้อนี้ได้จะดีมากๆเลยนะคะ เพราะเคยได้อ่าน และได้ฟังเกี่ยวกับเรื่องการคิดแง่บวก ซึ่งการคิดแง่บวกก็เป็นพลังหนึ่งที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกับกำลังใจที่ทำให้เราประสบความสำเร็จได้นี้แหละค่ะ 
  • การเป็นตัวของตัวเอง  คือ มีความคิดอ่านเป็นของตนในทางที่มีเหตุมีผล  มีความถูกต้องเหมาะสม  หรือพูดง่ายๆว่ามีหลักการของตนเองค่ะ  ไม่ยอมให้ใครชักจูงให้ผันผวนไปจากแนวคิดของตน  คนเหล่านี้ คือ ผู้ที่มีกำลังใจแท้  คือมีกำลังใจที่จะต้อสู้  และกำลังใจที่จะหักห้ามตนเอง  ไม่ให้ทำผิดจากหลักการที่ตั้งไว้
  • การสร้างนิสัยสดชื่น  ความสดชื่น  เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความสามารถที่จะมีชีวิตอยู่และพร้อมเติบโตก้าวหน้าต่อไป  ทำให้ผู้อยู่ใกล้มีความสุขสดชื่นไปด้วย  แม้ว่าในความเป็นจริง เราอาจจะมีทุกข์  แต่หากเราเอาแต่โศกเศร้าทุกข์ร้อน นอกจากจะทำให้เรารู้สึกอ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว  ผู้คนก็จะพากันหนีห่าง  ดังนั้น เราจึงควรสร้างนิสัยสดชื่นไว้อยู่เสมอ  ด้วยการสร้างสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้สุดชื่นแจ่มใส  เช่น  ปลูกไม้ดอกในบ้าน  ประกอบคุณงามความดี เช่น การทำบุญ  จะทำให้รู้สึกอิ่มเอิบสดชื่นเช่นกันค่ะ 



                    
คลิปสั้นๆ แต่ได้กำลังใจเพียบ





                 
การสร้างกำลังใจยังมีอีกหลายวิธีเลยค่ะ  ทั้งการอ่านหนังสือดีๆ  หรือการหาภาพยนตร์ดีๆดู  ที่แฝงไปด้วยข้อคิด แนวคิด หรือคติดีๆ  ที่จะทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้นอย่างเช่นเรื่อง About Time ค่ะ ซึ่งให้ข้อคิดว่าให้ใช้ชีวิตทุกวินาทีอย่างมีสติ  ให้เกิดคุณค่ามากที่สุด  เพราะเวลามันไม่เคยกลับมาไตร่ตรองตัวมันเอง   และคนใกล้ตัวเราก็เป็นอีกหนึ่งกำลังใจดีๆนะคะ  ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย พี่ ป้า น้า อา ลูก หลาน เหลน โหลน คนรัก คุณครู น้องหมา น้องแมว กระต่าย และถ้าเราฝึกสร้างกำลังใจให้ตัวเองทุกๆวันจนชิน  จะทำให้เราเป็นคนเข้มแข็ง  และมีกำลังใจ ที่จะผลักดันให้เราประสบความสำเร็จในทุกๆด้านต่อไปค่า


  




แล้วเจอกันใหม่น้าา      บ๊ายยยย...บายยยย




ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆ และข้อมูลดีๆจาก:




วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 4 : โปรแกรมภาษา Java




                       มาถึงบทความที่ 4 ของวราปาก้าแล้วค่า ขอนำบทความภาษา Java ให้เพื่อนๆได้เข้าใจเกี่ยวกับภาษานี้มากขึ้นนะคะ ไปดูกันเลย!!!

                         ภาษาจาวา (Java programming language) เป็นภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object Oriented Programming) พัฒนาโดย เจมส์ กอสลิง และวิศวกรคนอื่นๆ ที่ ซัน ไมโครซิสเต็มส์ ภาษาจาวาถูกพัฒนาขึ้นในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการกรีน (the Green Project) และสำเร็จออกสู่สาธารณะในปี พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) ค่ะ  ซึ่งภาษานี้มีจุดประสงค์เพื่อใช้แทภาษาซีพลัสลัส (C++) โดยรูปแบบที่เพิ่มเติมขึ้นคล้ายกับภาษาอ็อบเจกต์ทีฟซี (Objective-C) แต่เดิมภาษานี้เรียกว่า ภาษาโอ๊ก (Oak)ค่ะ  ซึ่งตั้งชื่อตามต้นโอ๊กใกล้ที่ทำงานของ เจมส์ กอสลิง แต่ว่ามีปัญหาทางลิขสิทธิ์ จึงเปลี่ยนไปใช้ชื่อ "จาวา" ซึ่งเป็นชื่อกาแฟแทนค่า


                         และถึงแม้ว่าจะมีชื่อคล้ายกัน แต่ภาษาจาวาไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับภาษาจาวาสคริปต์ (JavaScript) นะคะ  โดยปัจจุบันมาตรฐานของภาษาจาวาดูแลโดย Java Community Process ซึ่งเป็นกระบวนการอย่างเป็นทางการที่อนุญาตให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมกำหนดความสามารถในจาวาแพลตฟอร์มได้ค่ะ


                         ซึ่งในการพัฒนาภาษาจาวานี้ มีจุดมุ่งหมายหลัก 4 ประการค่ะ 

  1. ใช้ภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ
  2. ไม่ขึ้นกับแพลตฟอร์ม (สถาปัตยกรรม และ ระบบปฏิบัติการ)
  3. เหมาะกับการใช้ในระบบเครือข่าย พร้อมมีไลบรารีสนับสนุน
  4. เรียกใช้งานจากระยะไกลได้อย่างปลอดภัย

                ทุกสิ่งทุกอย่างมีความเป็นมาหมดค่ะ แม้กระทั่งเจ้าภาษานี้


                         ภาษาจาวาได้รับการพัฒนาขึ้นโดยบริษัทซัน ไมโครซิสเตมส์ ในปี 1991 ค่ะ โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างผลิตภัณฑ์อิเล็คทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคที่ง่ายต่อ การใช้งาน มีค่าใช้จ่ายต่ำ ไม่มีข้อผิดพลาด และสามารถใช้กับเครื่องใดๆก็ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นข้อดีของจาวาที่เหนื่อกว่าภาษาอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่โปรแกรมซึ่งเขียนขึ้นด้วยภาษาจาวาสามารถนำไปใช้กับเครื่องต่าง ๆ โดยไม่ต้องทำการคอมไพล์โปรแกรมใหม่ ทำให้ไม่จำกัดอยู่กับเครื่องหรือโอเอสตัวใดตัวหนึ่ง แม้ว่าการใช้งานจาวาในช่วงแรกจะจำกัดอยู่กับWorld Wide Web (WWW) และ Internetก็ตามค่ะ  และ ได้มีการนำจาวาไปประยุกต์ใช้กับงานด้านซอฟต์แวร์ต่าง ๆ อย่างมากมาย ตั้งแต่ซอฟต์แวร์อรรถประโยชน์ (Utility) ไปจนกระทั่งซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ เช่น โปรแกรมชุดจากบริษัท Corel ซึ่งประกอบด้วยโปรแกรมหลัก ๆ คือ โปรแกรมเวิร์โปรเซสซิ่ง สเปรดซีต พรีเซนเตชั่น ที่เขียนขึ้นด้วยจาวาทั้งหมดเลยค่า
                        
                         ภาษาจาวายังสามารถนำไปใช้เป็นภาษาสำหรับอุปกรณ์แบบฝังต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์ และอุปกรณ์ขนาดมือถือแบบต่าง ๆ เป็นต้น รวมทั้งยังได้รับความนิยมนำไปใช้กับอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเข้าสู่อินเตอร์เน็ต โดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้แล้ว จาวายังเป็นภาษาที่ถูกใช้งานในคอมพิวเตอร์แบบเอ็นซี (NC) ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์แบบใหม่ล่าสุด ที่เน้นการทำงานเป็นเครือข่ายว่า แอพเพลต (applet) ที่ต้องการใช้งานขณะนั้นมาจากเครื่องแม่ ทำให้การติดต่อสื่อสารสารผ่านเครือข่ายใช้ช่องทางการสื่อสารน้อยกว่าการดึงมาทั้งโปรแกรมเป็นอย่างมากเลยทีเดียวค่า


                          ขอสรุปให้สั้นๆนะคะ 
  • ผู้คิดต้นแบบ คือ James Gosling และคณะ จากบริษัท Sun Microsystems
  • วัตถุประสงค์เดิม คือ ของ จาวาคือใช้สำหรับการเขียนโปรแกรมเพื่อฝังตัวในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
  • ผล คือ ภาษาสำหรับเขียนโปรแกรม (Application Programming) ซึ่งเป็นลักษณะของโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object Oriented Programming) ซึ่งสามารถใช้งานบนเว็บได้ด้วยค่ะ




                           สำหรับการพัฒนาภาษา Java สามารถพัฒนา Application ได้หลากหลายรุปแบบมากค่ะ  อย่างเช่น Application ที่ทำงานบน Windows , Mac , Linux หรือบน Web Application (JSP Java Servlet) และที่กำลังมาแรงสุดในตอนนี้ก็คือ การพัฒนา Application บน Mobileนั้นเองค่า  ซึ่งในปัจจุบันสามารถพัฒนาได้บน Android และ BlackBerry และในอนาคตจะยังมีตามมาอีกหลายตัวแน่นอน ดังนั้นในภาษา Java จะมีรุ่นที่เป็น SDK อยู่หลายตัว เช่นเราอาจจะเคยได้ยินพวก J2SE , J2EE , J2ME หรือ SE , EE , ME เราอาจจะงงว่าทำไมมันถึงมีหลายตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นเพียงแค่รุ่นสำหรับการพัฒนาบน Platform ต่าง ๆ เช่น


  • J2SE ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น SE (Standard Edition) ไว้สำหรับพัฒนาโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะทั่วไป
  • J2EE ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น EE (Enterprise Edition) ไว้สำหรับพัฒนาโปรแกรมในองค์กรใหญ่ๆ หรือมีขอบเขตของโครงการกว้างมาก
  • J2ME ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ME ((Micro Edition) ไว้สำหรับพัฒนาโปรแกรมบนอุปกรณ์พกพา เช่น โทรศัพท์มือถือ หรือพีดีเอ


Java EE, SE , ME

เปรียบเทียบการพัฒนา Java ในรุ่นต่าง ๆ

      

                               ซึ่งปกติแล้วในการพัฒนา Application ด้วยภาษา Java ทั่ว ๆ ไปเราจะใช้รุ่น SE (Standard Edition) ก็จะมี JDK (Java Development Kit) ที่ประกอบไปด้วย compiler และ debugger ของภาษา Java สำหรับนักพัฒนา JRE (Java Runtime Environment) ซึ่งเป็นสิ่งที่รวม library ต่างๆสำหรับการรันโปรแกรมที่พัฒนาด้วย Java ซึ่งถ้าติดตั้ง JDK เพียงตัวเดียวก็จะมี JRE รวมอยู่ด้วย


Java Android


                             มีช่วงหนึ่งที่เจ้าของเนื้อหานี้ได้ทำงานรับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนา App บน Mobile ของ Android ซึ่งในตอนแรกโจทย์ค่อนข้างจะยากสำหรับเขาค่ะ  แต่พอเขาได้ศึกษาจริง ๆ แล้ว การพัฒนา Android ด้วยภาษา Java นั้นง่ายมาก เพราะในโครงสร้างของภาษา Java เองก็เป็น Syntax ที่ง่าย ๆ สามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว และยิ่งถ้าได้เขียนพวก .NET แบบ C#มาแล้วก็จะรู้ว่าใน 2 ภาษานี้มีโครงสร้างที่เหมือนกันมาก และจะทำให้สามารถศึกษาได้อย่างรวดเร็ว


มาดูข้อดีและข้อเสียของภาษาจาวากันค่ะ 

ข้อดีของ ภาษา Java
     -  ภาษา Java เป็นภาษาที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุแบบสมบูรณ์ ซึ่งเหมาะสำหรับพัฒนาระบบที่มีความซับซ้อน การพัฒนาโปรแกรมแบบวัตถุจะช่วยให้เราสามารถใช้คำหรือชื่อ ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในระบบงานนั้นมาใช้ในการออกแบบโปรแกรมได้ ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
     -  โปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยใช้ภาษา Java จะมีความสามารถทำงานได้ในระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน ไม่จําเป็นต้องดัดแปลงแก้ไขโปรแกรม เช่น หากเขียนโปรแกรมบนเครื่อง Sun โปรแกรมนั้นก็สามารถถูก compile และ run บนเครื่องพีซีธรรมดาได้
     -ภาษาจาวามีการตรวจสอบข้อผิดพลาดทั้งตอน compile time และ runtime ทำให้ลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในโปรแกรม และช่วยให้ debug โปรแกรมได้ง่าย
     - ภาษาจาวามีความซับซ้อนน้อยกว่าภาษา C++ เมื่อเปรียบเทียบ code ของโปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยภาษา Java กับ C++ พบว่า โปรแกรมที่เขียนโดยภาษา Java จะมีจํานวน code น้อยกว่าโปรแกรมที่เขียนโดยภาษา C++ ทำให้ใช้งานได้ง่ายกว่าและลดความผิดพลาดได้มากขึ้น 
     -  ภาษาจาวาถูกออกแบบมาให้มีความปลอดภัยสูงตั้งแต่แรก ทำให้โปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยจาวามีความปลอดภัยมากกว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้น ด้วยภาษาอื่น เพราะ Java มี security ทั้ง low level และ high level ได้แก่ electronic signature, public andprivate key management, access control และ certificatesของ
     -มี IDE, application server, และ library ต่าง ๆ มากมายสำหรับจาวาที่เราสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทำให้เราสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับการซื้อ tool และ s/w ต่าง ๆ


    ข้อเสียของ ภาษา Java
    -ทำงานได้ช้ากว่า native code (โปรแกรมที่ compile ให้อยู่ในรูปของภาษาเครื่อง) หรือโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาอื่น อย่างเช่น C หรือ C++ ทั้งนี้ก็เพราะว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาจาวาจะถูกแปลงเป็นภาษากลาง ก่อน แล้วเมื่อโปรแกรมทำงานคำสั่งของภาษากลางนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นภาษาเครื่องอีก ทีหนึ่ง ทีล่ะคำสั่ง (หรือกลุ่มของคำสั่ง) ณ runtime ทำให้ทำงานช้ากว่า native code ซึ่งอยู่ในรูปของภาษาเครื่องแล้วตั้งแต่ compile  โปรแกรมที่ต้องการความเร็วในการทำงานจึงไม่นิยมเขียนด้วยจาวา
    -tool ที่มีในการใช้พัฒนาโปรแกรมจาวามักไม่ค่อยเก่ง ทำให้หลายอย่างโปรแกรมเมอร์จะต้องเป็นคนทำเอง ทำให้ต้องเสียเวลาทำงานในส่วนที่ tool ทำไม่ได้ ถ้าเราดู tool ของ MS จะใช้งานได้ง่ายกว่า และพัฒนาได้เร็วกว่า (แต่เราต้องซื้อ tool ของ MS และก็ต้องรันบน platform ของ MS)




        วาไรตี้ก็มีคลิปวีดิโอสอนเขียนโปรแกรมภาษาจาวามาฝากเพื่อนๆกันค่ะ








เจอกันใหม่นะคะ บ๊ายบายยย





















ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก